วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผญาบทกวีของคนอีสาน

  คำว่า "ผญา" ตรงกับคำว่า "ปรัชญา" ในภาษาสันสกฤต และคำว่า "ปัญญา" ในภาษาบาลี
ซึ่งในภาษาอีสานไม่มีเสียงควบกล้ำ "ปร" แต่จะออกเสียง "ผ" แทน เช่น คำว่า "โปรด" เป็น "โผด"
คำว่า "เปรต" เป็น "เผต" คำว่า "ปราบ" เป็น "ผาบ" ฯลฯ
     ดังนั้น "ปรัชญา" จึงกลายเสียงเป็น "ผญา"ได้  คำว่า ผญา จึงแปลว่า ปรัชญา ปัญญา หรือความรอบรู้ ชาวภาษาอีสานได้รวมความของคำว่า ผญา ไปถึง "ถ้อยคำอันแสดงให้เห็นถึงปัญญาความรอบรู้ของผู้พูดด้วย" ดังโบราณว่าไว้

😊   มีเงินเต็มภาช์   บ่ทอมีผญาเต็มพุง
(มีเงินมากมาย  ก็ไม่เท่ามีปัญญาความรอบรู้)

😊   เว่ากันกับคนใบ้   คือผ่าไม่กวมตา
เว่ากับคนมีผญา   คือผ่าไม่โลงข่อ
(พูดกับคนใบ้เหมือนกับผ่าไม้ติดตาไม้ ผ่าไม่สะดวก
แต่พูดกับคนมีปัญญาเปรียบเหมือนการผ่าไม้ได้สะดวก)

ผญา  บทกวีแห่งอีสานใช่ว่าจะให้เพียงความสุนทรีย์ ที่มีความสูงส่งทางด้านอักษรศาสตร์ แต่ยังเป็นกุศโลบายที่สอดแทรกหลักธรรมให้เข้าถึงชนทุกชั้น คนอีสานจากอดีตจนถึงปัจจุบันสามารถดำรงความเป็นสังคมความเป็นญาติพี่น้อง ซึ่งมีการช่วยเหลือเอื้ออาทร เพราะอาศัยแนวคำสอนที่ได้จากบทกลอน ผญา ซึ่งแทรกปนอยู่ในวรรณกรรมต่างๆเป็นคติในการดำรงชีวิต
เมธีชาวอีสานได้แต่ง "ผญา" บทกวีอีสาน เพื่อสอนใจชนทุกชั้น เช่น

1. สามัญชนทั่วไป
"คันสิคอยแต่บุญมาค้ำ        คันบ่ทำกะบ่แมน
คอยแต่บุญส่งให่                 มันสิได้บ่อนใด๋
คือจังเฮามีอาหารไว้            บ่เอากินมันบ่อิ่ม
มีลาบคันบ่เอาเข่าคุ้ย           ทางท้องบ่หอนเต็ม"

2.ข้าราชการ
 "ขุนหาญห่าว                     ครองเมืองจังเฮืองฮุง
ขุนขี่ย่าน                             แมนครองบ้านกะบ่เฮือง"
"คันสิเป็นขุนให่                  ถามดูพวกไพร่
คันแมนไพร่บ่พร้อม            แปลงบ้านกะบ่เฮือง"

3.ผู้มีความรู็ วิญญูชน
"คันแมนมีความฮู้                เต็มพุงเพียงปาก  กะตามถ่อน
คันแมนสอนโตเองบ่ได้      ไผสิย้องวาดี"
"คันเจ้ามีความฮู้                 อย่าถือโตวาอวดอ่ง
ให่ลงมาสู่พื้น                      ยืนดินได้ซำซูคน"

4. พระสงฆ์ องค์เจ้า
"คันแมนสังโฆเจ้า               บ่ถือครองคำสวด
แมนสิบวชฮอดเถ่า              บุญเจ้ากะบ่มีดอกหนา"
"คันแมนบวชมาแล้ว           ให่ถือฮีตคำสอน
อย่าได้ผิดครองธรรม           แห่งองค์พุทโธเจ้า"

5.พระมหากษัตริย์
"เป็นกษัตริย์                       ให่ฮักฮีตครองกษัตริย์
 คุณธรรมเริง                       ซูวันบ่มีเว้น"
"เป็นกษัตริย์สร้าง               มีธรรมนำส่อง
ทศพิธราชธรรมค้ำยู้           ซูไว่อย่าถอย"

  ผญา  ที่พ่อแม่นำมาสอนลูก ปู่นำมาสอนหลาน ผู้นำทางพิธีกรรมนำมาสอนชาวบ้าน เมื่อได่อ่านหรือฟังแล้วต้องนำมาคิด พิจารณาไตร่ตรองตีความเพราะบางสำนวนได้ซ่อนคำความหมายไว้อย่างลึกซึ้ง ถ้าเพียงแต่อ่านเพียงผิวเผิน  อาจจะไม่ได้ความหมายที่ปราชญ์ท่านแฝงไว้ เช่น ผญาบทที่ว่า
"อยากกินน้ำแซบ          ให่ขุดน้ำบ่หิน
อยากมีอยู่มีกิน              ให่เอาศีลเป็นทุนค้า
อยากขึ่นสวรรค์ซั้นฟ้า   ให่ข่าเจ้าของเอง"

ผญาบทนี้หลายคนอ่านแล้วจะมีความเห็นขัดแย้งทันที  โดยเฉพาะวรรคสุดท้ายที่ว่า "อยากขึ่นสวรรค์ซั้นฟ้าให่ข่าเจ้าของเอง"  ผู้อ่านจะสงสัยว่าการฆ่าตัวเอง ไม่ขัดกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่เรียกว่า วินิบาตกรรม (การฆ่าตัวเอง) ซึ่งถือว่าเป็นบาปหนักหรือ
     ความจริงแล้ว ผู้แต่งได่ซ่อนปรัชญาไว้ว่า การฆ่าตนเองนั้น หมายถึง การฆ่ากิเลส ตัณหา อวิชชา อุปทาน โลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในจิตใจของเราให้ตายไปนั่นเอง ไม่ได้หมายถึงการฆ่าชีวิตทางกายดังที่เข้าใจกัน

  บางบทก็ใช้คำ ภาษาเปรียบเทียบสำนวนคำอุปมาอุปไมย ผู้อ่านจะต้องตีความเชิงเปรียบเทียบจึงจะเข้าใจความหมาย เช่น
"เกลี้ยงแต่นอก        ทางในเป็นหมากเดื่อ
หวานนอกเนื้อ          ในส่มจังหมากนาว"

บางสำนวนได้กล่าวไว้แบบกลับดำเป็นขาวหรือหน้าเป็นหลัง ผู้อ่านจะต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของผู้แต่ง เช่น
"ฟังนกอีเอี้ยง            กินหมากโพธิ์ไฮ
แซวแซวเสียง           บ่มีโตฮ้อง
แซวแซวฮ้อง            โตเดียวเหมิดมู"
หรือ
"อยากกินปลาขาว     ให่แบกแหขึ่นโคก
อยากตกนรก             ให่เข่าวัดฟังธรรม"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น